เสาชิงช้า

โบราณสถานและสัญลักษณ์สำคัญของกรุงเทพมหานคร

เสาชิงช้า เป็น สถาปัตยกรรม ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ประกอบพิธีโล้ชิงช้า ใน พระราชพิธีตรียัมพวาย ตรีปวาย ของ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โดยทั่วไปหมายถึงเสาชิงช้าที่ตั้งอยู่หน้า วัดสุทัศน์เทพวราราม และลานหน้า ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (ลานคนเมือง) ใกล้กับ เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ ในพื้นที่แขวงเสาชิงช้าและแขวงวัดราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของ กรุงเทพมหานคร แม้พิธีโล้ชิงช้าได้เลิกไปแล้วตั้งแต่สมัย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ก็ตาม

เสาชิงช้า
ประเภทเสา
ที่ตั้งแขวงวัดราชบพิธ แขวงเสาชิงช้า และแขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
พิกัด13°45′06″N 100°30′05″E / 13.751776°N 100.501267°E / 13.751776; 100.501267
ความสูง21.15 เมตร (นับจากฐาน)
ความยาว10.50 เมตร (ฐานกลม)
สร้างเมื่อ8 เมษายน พ.ศ. 2327
สร้างโดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
การใช้งานดั้งเดิมประกอบพิธีโล้ชิงช้าในพระราชพิธีตรียัมพวาย ตรีปวาย
บูรณะพ.ศ. 2549
สถานะปิดใช้งาน, ยังมีอยู่
ผู้ดูแลกรมศิลปากร
ชื่อที่ขึ้นทะเบียนเสาชิงช้า
ขึ้นเมื่อ22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492
เป็นส่วนหนึ่งของโบราณสถานในเขตกรุงเทพมหานคร
เลขอ้างอิง0000003
ทางแยก ทางแยก
ชื่ออักษรไทยเสาชิงช้า
ชื่ออักษรโรมันSao Chingcha
รหัสทางแยกN091, N160
ทิศทางการจราจร
ถนนดินสอ
» อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ถนนศิริพงษ์
» ด้านหลังศาลาว่าการ กทม.
ถนนบำรุงเมือง
» แยกสำราญราษฎร์
ถนนอุณากรรณ, ถนนศิริพงษ์
» แยกอุณากรรณ
ถนนตีทอง
» แยกเฉลิมกรุง
ถนนบำรุงเมือง
» แยกสี่กั๊กเสาชิงช้า
ภาพของเสาชิงช้าในเวลาเย็น

นอกจากนี้ ใน ประเทศไทย ยังมีเสาชิงช้าอีกแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ที่ หน้าหอพระอิศวร เมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งมีการประกอบพิธีโล้ชิงช้ามาแต่โบราณเช่นกัน แต่ได้เลิกไปก่อนที่จะมีการก่อสร้างขึ้นใหม่ในภายหลัง โดยจำลองแบบมาจากเสาชิงช้าที่ กรุงเทพมหานคร

เสาชิงช้าที่ กรุงเทพมหานคร แห่งนี้ มีลักษณะเป็นเสาชิงช้าขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนแท่นหินขนาดใหญ่ สูง 21.15 ม. เส้นผ่านศูนย์กลาง ฐานกลมประมาณ 10.50 ม. ฐานกลมก่อเป็นฐานปัทม์ทำด้วยหินล้างสีขาว พื้นบนปูกระเบื้องดินเผาสีแดง มีบันได 2 ขั้น ทั้ง 2 ด้าน ตามแนวโค้งของฐานติดแผ่นจารึกประวัติเสาชิงช้า เสาไม้แกนกลางคู่และเสาตะเกียบ 2 คู่ เป็นเสาหัวเม็ด ล้วนทำด้วยไม้สักกลึงกลม โครงยึดหัวเสาทั้งคู่แกะสลักอย่างสวยงาม กระจังและหูช้างไม้เป็นลวดลายไทย ทั้งหมดทา สีแดงชาด ติด สายล่อฟ้า จากลวดลายกระจังด้านบนลงดิน

กรมศิลปากร ได้ประกาศขึ้นทะเบียนเสาชิงช้าเป็น โบราณสถาน สำคัญของชาติเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492 นับตั้งแต่สร้างครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2327 จนถึงการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งล่าสุดซึ่งเสาชิงช้าคู่เดิมถูกถอดเปลี่ยนเมื่อปี พ.ศ. 2549 เสาชิงช้ามีอายุรวมประมาณ 222 ปี

การก่อสร้าง

แก้

จดหมายเหตุกรุงรัตนโกสินทร์บันทึกไว้ว่าพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจักรีบรมนาถ หรือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 โปรดให้สร้างเสาชิงช้าในพระนครขึ้นตรงหน้าเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ เมื่อวันพุธ เดือน 5 แรม 4 ค่ำ ปีมะโรง [note 1] บริเวณลานด้านเหนือของวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ต่อมาย้ายมาสร้างใหม่ ณ ที่ตั้งปัจจุบันบริเวณหน้าวัดสุทัศน์ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากข้อจำกัดด้านสถานที่

พิธีโล้ชิงช้า

แก้

พิธีโล้ชิงช้า เป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีตรียัมพวาย ตรีปวาย เป็นการต้อนรับพระอิศวรซึ่งเป็นหนึ่งในสามเทพเจ้าของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เชื่อกันว่าพระอิศวรจะเสด็จลงสู่โลกในวันขึ้นเจ็ดค่ำเดือนยี่ วันนั้นจะมีการแห่พระเป็นเจ้าไปถวายพระพรพระเจ้าอยู่หัว

เมื่อพระเป็นเจ้าเสด็จลงมาสู่โลกมนุษย์ก็ได้เชิญเทวดาองค์อื่นๆ มาเฝ้าและมาร่วมพิธีด้วย ได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระคงคา และพระธรณี พราหมณ์จะแกะรูปสัญลักษณ์ของเทวดาแต่ละองค์เป็นเทวรูปลงในไม้กระดานสามแผ่นเพื่อทำการบูชาในเทวสถาน แล้วจากนั้นจะนำไปปักในหลุมหน้าโรงพิธีนั่งดูโล้ชิงช้า หันหน้ากระดานเข้าหาตำแหน่งที่มีพระยายืนชิงช้านั่ง เรียกว่ากระดานลงหลุม ในวันขึ้น 8 ค่ำ เดือนยี่

พระราชพิธีตรียัมปวายนี้จะกระทำในเทวสถานสำหรับพระนคร 3 เทวสถาน คือ เทวสถานพระอิศวร เทวสถานพระมหาวิฆเนศวร และเทวสถานพระนารายณ์ โลกบาลทั้งสี่ (พระยายืนชิงช้า และนาลิวัน) จึงต้องโล้ชิงช้าถวายและรับน้ำเทพมนตร์ด้วย

แต่เดิมนั้นพระราชพิธีตรียัมปวายจะจัดในเดือนอ้าย (ประมาณเดือนธันวาคม) ครั้นล่วงเข้าสู่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์จึงได้เปลี่ยนมาจัดในเดือนยี่ (ประมาณเดือนมกราคม) พิธีนี้ถือเป็นพิธีขึ้นปีใหม่ของพราหมณ์ซึ่งในหนึ่งปีพระอิศวรจะเสด็จมาเยี่ยมโลก 10 วัน พราหมณ์จะประชุมที่เทวสถานพระอิศวร แล้วผูกพรตชำระกายสระเกล้าเตรียมรับเสด็จพระอิศวร

ตำนานพระราชพิธีตรียัมปวาย พิธีโล้ชิงช้ามีที่มาจากคัมภีร์เฉลิมไตรภพกล่าวไว้ว่าพระอุมาเทวีทรงมีความปริวิตกว่าโลกจะถึงกาลวิบัติ พระนางจึงทรงพนันกับพระอิศวร โดยให้พญานาคขึงตนระหว่างต้นพุทราที่แม่น้ำ แล้วให้พญานาคแกว่งไกวตัวโดยพระอิศวรทรงยืนขาเดียวในลักษณะไขว่ห้าง เมื่อพญานาคไกวตัว เท้าพระอิศวรไม่ตกลงแสดงว่าโลกที่ทรงสร้างนั้นมั่นคงแข็งแรง พระอิศวรจึงทรงชนะพนัน

ดังนั้นพิธีโล้ชิงช้าจึงเปรียบเสาชิงช้าเป็น "ต้นพุทรา" ช่วงระหว่างเสาคือ "แม่น้ำ" นาลิวันผู้โล้ชิงช้าคือ "พญานาค" โดยมีพระยายืนชิงช้านั่งไขว่ห้างอยู่บนไม้เบญจมาศ

พิธีโล้ชิงช้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีได้ยกเลิกไปในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ปัจจุบันการประกอบพระราชพิธีนี้จะกระทำเป็นการภายในเทวสถานเท่านั้น

การบูรณปฏิสังขรณ์

แก้
 
เสาชิงช้าต้นเดิมก่อนบูรณะ
 
เสาชิงช้าต้นปัจจุบันในยามค่ำคืน

ล่วงสู่สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 บริษัทหลุยส์ ที.เลียวโนเวนส์ ซึ่งเป็นบริษัทค้าไม้ได้มอบซุงไม้สักสำหรับสร้างเสาชิงช้าใหม่ ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2463 นับเป็นการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งแรก และบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่อีกครั้งเมื่อ พ.ศ. 2502 ครั้งนั้นเสาชิงช้ามีส่วนสูงทั้งสิ้น 21.15 เมตร

ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2490 เกิดไฟไหม้เสาชิงช้าเนื่องจากมีผู้จุดธูปกราบไหว้ ไฟจากธูปตกลงในรอยแตกและลามจนไหม้ จึงต้องบูรณปฏิสังขรณ์ชั่วคราว จนถึง พ.ศ. 2513 เสาชิงช้าชำรุดทรุดโทรมมากต้องเปลี่ยนเสาใหม่ โดยการบูรณะได้พยายามรักษาลักษณะเดิมไว้ทุกประการ

กระทั่งวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2539 มีการบูรณปฏิสังขรณ์อีกครั้งโดยสำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ใช้สายเหล็กรัดเป็นโครงเหล็กประกับ คล้ายลักษณะเข้าเฝือกไม้ยึดโครงสร้างหลัก

ล่าสุดเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 พบว่าเสาชิงช้ามีความชำรุดทรุดโทรมมาก ปรากฏรอยผุแตกเป็นร่องลึกตลอดแนวยาว โดยเฉพาะรอยต่อเสากลาง กทม. จึงได้ทำหนังสือขออนุญาตกรมศิลปากร เพื่อดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์ด้วยการเปลี่ยนเป็นเสาใหม่ทั้งหมด เน้นการแก้ไขการผุกร่อนในระยะยาว เนื่องจากสาเหตุที่เสาชิงช้าผุกร่อนได้ง่ายนั้น เป็นเพราะเสาหลักทั้งสองต้นใช้ไม้ยาวท่อนละประมาณ 7 เมตร ทำสลักเดือยต่อกันถึง 3 ท่อน ทำให้น้ำซึมเข้าในรอยต่อจนไม้ผุได้ง่าย ทางกทม. ตั้งเป้าไว้ว่าเสาชิงช้าใหม่ หากได้รับการดูแลบำรุงรักษาอย่างดีจะมีความมั่นคง แข็งแรงต่อไปได้ถึง 100 ปี เมื่อเทียบกับการบูรณะครั้งก่อนหน้าที่ทำให้เสาชิงช้ามีอายุการใช้งานเพียงมากกว่า 35 ปี

ความสำคัญทางโบราณคดี

แก้

การรื้อถอนเสาชิงช้าคู่เดิมเมื่อปี พ.ศ. 2549 เป็นโอกาสที่ทำให้มีการศึกษาทางโบราณคดีของเสาชิงช้ามากขึ้น โดยเฉพาะร่องรอยแนวถนนและท่อน้ำเดิม เนื่องจากการรื้อถอนหรือก่อสร้างโบราณสถานในเขตเมืองพระนครต้องได้รับความเห็นชอบจากกรมศิลปากรในการส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบและดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่นั้นๆ

นักโบราณคดีได้ทำการขุดแต่งในระดับแนวพื้นเดิมที่ยังเหลือร่องรอย และแต่งด้านหน้าติดกันด้านทิศใต้ (ด้านวัดสุทัศน์) และทิศเหนือ (ด้านศาลาว่าการ กทม.) ในการตรวจสอบชั้นดินเบื้องต้น ได้เชิญนายชาติชาย ร่มสน ผู้เชี่ยวชาญชั้นดินทางวัฒนธรรมมาช่วยในการวิเคราะห์ สรุปรายละเอียดเบื้องต้นได้ดังนี้

  • ชั้นดินด้านทิศใต้ (ด้านวัดสุทัศน์) ปรากฏลักษณะร่องรอยกิจกรรม 3 สมัย กล่าวคือ
    • สมัยที่ 1 เป็นชั้นแนวอิฐขนาดใหญ่ เรียงสลับตามแนวนอน ก่อซ้อนกันประมาณ 3 ชั้น และมีการก่ออิฐในแนวตั้งยกเป็นขอบ ใต้ชั้นแนวอิฐเป็นชั้นดินเหนียว
    • สมัยที่ 2 เป็นชั้นพื้นปรากฏเป็นแนวในแกนตะวันออก-ตะวันตก ลักษณะเป็นหินกรวดหลายขนาดผสมปูนขาว เทปูเป็นพื้น ใต้ลงไปเป็นชั้นอิฐบดวางทับอยู่บนชั้นดินเหนียว
    • สมัยที่ 3 เป็นท่อน้ำเหล็กที่วางอยู่ในชั้นอิฐสมัยที่ 1 เป็นลักษณะเจาะชั้นอิฐลงไปเพื่อวางท่อเหล็ก
  • ชั้นดินด้านทิศเหนือ(ด้านศาลาว่าการ กทม.) ปรากฏร่องรอยกิจกรรม 2 สมัย คือ
    • สมัยที่ 1 (ตรงกับสมัยที่สองของชั้นดินด้านทิศเหนือ) เป็นชั้นพื้น ลักษณะการเรียงตัวของชั้นดิน คล้ายสมัยที่สองด้านเหนือ คือชั้นบนสุดเป็นหินกรวดผสมปูนรองลงไปเป็นชั้นปูนขาว ใต้ชั้นปูนขาวเป็นอิฐก่อสอปูนวางแนวเหนือ-ใต้ ประมาณ 9-11 ชั้น
    • สมัยที่ 2 (ตรงกับสมัยที่สามของชั้นดินด้านทิศเหนือ) เป็นส่วนของท่อน้ำเหล็ก ปรากฏลักษณะการตัดเป็นช่องสี่เหลี่ยมลงไปในชั้นดินสมัยที่หนึ่ง เพื่อวางท่อน้ำ

ในรายงานดังกล่าวตั้งข้อสังเกตด้วยว่าพบแนวอิฐด้านนอกวางตัวในแนวตะวันออก-ตะวันตก 1 แผ่น โดยแนวดังกล่าวจะเว้นช่องว่าง จากนั้นจึงก่อแนวอิฐอีก 1 ชั้น วางตัวในลักษณะเดียวกัน โดยชั้นบนสุดจะใช้อิฐก่อตะแคงปิดด้านบนของช่องดังกล่าว

สรุปชั้นดินเบื้องต้นได้ว่าแนวอิฐในสมัยที่ 1 (ด้านวัดสุทัศน์) น่าจะเป็นแนวถนนเดิมที่มีมาก่อนสมัย รัชกาลที่ 4 ส่วนแนวพื้นสมัยที่ 2 (ด้านวัดสุทัศน์) น่าจะเป็นแนวถนนที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมีรางระบายน้ำอยู่ขอบถนน อาจมีการปรับพื้นที่ด้วยการอัดดินเหนียวเพื่อให้ได้ระดับแล้วจึงเทชั้นถนน ส่วนท่อเหล็กสมัยที่สามน่าจะเป็นท่อประปาที่สร้างขึ้นในสมัยหลังคือสมัย รัชกาลที่ 5 สร้างขึ้นหลังจากมีการสร้างถนนแล้ว

ช่วงท้ายของรายงานชี้แจงว่าได้มีการบันทึกภาพถ่ายพร้อมทั้งรายละเอียดทุกขั้นตอน นอกจากนี้ยังได้ทำแผนผังหลุม แผนผังชั้นดิน ลายเส้นแนวอิฐ รวมถึงเก็บตัวอย่างดินในแต่ละชั้นและอิฐ เพื่อนำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ หลังจากนั้นจึงจะนำผลวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการมาวิเคราะห์ร่วมกับหลักฐานอื่น เช่น เอกสาร แผนผังและรูปถ่ายโบราณ เพื่อจะประมวลเป็นรายงานเบื้องต้นต่อไป

การค้นพบร่องรอยแนวถนนโบราณก่อนสมัยรัชกาลที่ 4 และท่อน้ำเหล็กสมัยรัชกาลที่ 5 อันเนื่องมาจากการรื้อถอนเสาชิงช้าเมื่อปี พ.ศ. 2549 จึงเป็นผลดีสำหรับการเพิ่มเติมข้อมูลวิชาการโบราณคดีเมือง และหากเป็นไปตามเป้าประสงค์ของ กทม. โอกาสที่ผืนดินนี้จะถูกขุดแต่งทางโบราณคดีอีกครั้งก็น่าจะเป็นเวลากว่า 1 ศตวรรษข้างหน้า

ภูมิทัศน์โดยรอบเสาชิงช้า

แก้

พื้นผิวการจราจรบริเวณเสาชิงช้าในปัจจุบันเป็นทางแยกบนถนนบำรุงเมืองที่ต่อเนื่องกัน 2 แยก ได้แก่ทางแยกด้านทิศตะวันตก เป็นจุดบรรจบระหว่างถนนบำรุงเมือง, ถนนตีทอง และถนนดินสอ และด้านทิศตะวันออก เป็นจุดบรรจบระหว่างถนนบำรุงเมือง, ถนนอุณากรรณ และถนนศิริพงษ์ โดยมีฐานเสาชิงช้าทำหน้าที่คล้ายวงเวียนขนาดเล็กตั้งอยู่ระหว่างทางแยกทั้งสอง ตรงกับด้านหน้าวัดสุทัศนเทพวรารามและลานหน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร หรือลานคนเมือง ซึ่งเป็นพื้นที่โล่งกว้างสำหรับจัดกิจกรรมต่างๆ ด้านล่างมีที่จอดรถใต้ดินของ กทม. บนลานคนเมืองด้านที่ติดกับเสาชิงช้ามีประติมากรรมและป้ายแสดงชื่อเต็มของกรุงเทพมหานคร จัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกในงานฉลอง 220 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปี พ.ศ. 2545

บริเวณย่านเสาชิงช้าเป็นย่านเก่าแก่แห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ มีสถาปัตยกรรมเก่าแก่จำนวนมากโดยเฉพาะอาคารพาณิชย์สองฝั่งถนนบำรุงเมืองรอบเสาชิงช้า ระหว่างแยกสี่กั๊กเสาชิงช้าและแยกสำราญราษฎร์ ถือเป็นย่านจำหน่ายสังฆภัณฑ์ที่สำคัญของกรุงเทพฯ

นอกจากนี้ โดยรอบยังมีศาสนสถาน ที่สำคัญในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูอยู่หลายแห่ง ได้แก่เทวสถานโบสถ์พราหมณ์, วัดเทพมณเฑียร และศาลพระนารายณ์ ซึ่งสร้างขึ้นภายหลังบริเวณเกาะกลางถนนอุณากรรณ-ถนนศิริพงษ์ ข้างวัดสุทัศน์

สถานที่สำคัญใกล้เคียง

แก้

รถประจำทางเข้าสู่เสาชิงช้า

แก้
  •   เส้นทางที่มีรถรองรับวีลแชร์

ถนนตีทอง

แก้

องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ

แก้
สายที่ จุดเริ่มต้น จุดสิ้นสุด ประเภทของรถที่ให้บริการ ผู้ให้บริการ หมายเหตุ
12 (3) สนามกีฬาห้วยขวาง สำนักงานที่ดินกรุงเทพ 1.รถโดยสารประจำทางสีครีม-แดง ขสมก.
508 (2)   อู่ฟาร์มจระเข้สมุทรปราการ ท่าราชวรดิฐ/ท่ารถคลองคูเมืองเดิม 1.รถโดยสารประจำทางปรับอากาศสีส้ม (ยูโรทู)
เมกาบางนา

ถนนบำรุงเมือง

แก้

องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ

แก้
สายที่ จุดเริ่มต้น จุดสิ้นสุด ประเภทของรถที่ให้บริการ ผู้ให้บริการ หมายเหตุ
508 (2)   อู่ฟาร์มจระเข้สมุทรปราการ ท่าราชวรดิฐ/ท่ารถคลองคูเมืองเดิม 1.รถโดยสารประจำทางปรับอากาศสีส้ม (ยูโรทู) ขสมก.
เมกาบางนา

ถนนศิริพงษ์

แก้

องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ

แก้
สายที่ จุดเริ่มต้น จุดสิ้นสุด ประเภทของรถที่ให้บริการ ผู้ให้บริการ หมายเหตุ
5 (1)   อู่กำแพงเพชร สะพานพระพุทธยอดฟ้า 1.รถโดยสารประจำทางสีครีม–แดง ขสมก.

รถเอกชน

แก้
สายที่ จุดเริ่มต้น จุดสิ้นสุด ประเภทของรถที่ให้บริการ ผู้ให้บริการ หมายเหตุ
42R (4-10) วนขวา : เสาชิงช้า ท่าพระ 1.รถโดยสารประจำทางขนาดเล็กสีส้ม

2.รถโดยสารประจำทางปรับอากาศสีน้ำเงิน (ใช้พลังงานไฟฟ้า)

บจก.ไทยสมายล์บัส (ให้บริการในนาม บจก.มหาชนยานยนต์)
42L (4-10) วนซ้าย : เสาชิงช้า
3-53 เออาร์แอลหัวหมาก เสาชิงช้า 1.รถโดยสารประจำทางปรับอากาศสีน้ำเงิน (ใช้พลังงานไฟฟ้า) บจก.ไทยสมายล์บัส

ถนนอุณากรรณ

แก้

องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ

แก้
สายที่ จุดเริ่มต้น จุดสิ้นสุด ประเภทของรถที่ให้บริการ ผู้ให้บริการ หมายเหตุ
ไม่มีข้อมูล - - - - -

รถเอกชน

แก้
สายที่ จุดเริ่มต้น จุดสิ้นสุด ประเภทของรถที่ให้บริการ ผู้ให้บริการ หมายเหตุ
42L (4-10) วนซ้าย : เสาชิงช้า ท่าพระ 1.รถโดยสารประจำทางขนาดเล็กสีส้ม

2.รถโดยสารประจำทางปรับอากาศสีน้ำเงิน (ใช้พลังงานไฟฟ้า)

บจก.ไทยสมายล์บัส (ให้บริการในนาม บจก.มหาชนยานยนต์)
  • 12 = ตลาด​ห้วยขวาง - ปากคลองตลาด
  • 42 = วนขวา​ เสาชิงช้า - ท่าพระ
  • 508 = ปากน้ำ - ท่าราชวรดิษฐ์
  • 508 = เมกาบางนา​ -​ ท่าราช​ว​ร​ดิษฐ์​
  • 3-37 (12 เดิม)​ = ศูนย์​วัฒนธรรม​แห่ง​ประเทศไทย​ -​ MRT​ สนาม​ไชย​
  • 3-53 = ARL​ หัวหมาก​ -​ เสาชิงช้า
  • 4-10 (42 เดิม)​ = วนซ้าย​ ท่าพระ​ -​ เสาชิงช้า​

เชิงอรรถ

แก้
  1. ในความเป็นจริง วันแรม 4 ค่ำ เดือน 5 ปีมะโรง ที่บันทึกไว้ตรงกับวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2327 ซึ่งเป็นวันพฤหัสบดีไม่ใช่วันพุธ; ดังนั้น วันพุธตามปฏิทินที่ถูกต้องอาจเป็นวันพุธ เดือน 5 แรม 3 ค่ำ หรือวันพุธ เดือน 5 ขึ้น 4 ค่ำ อย่างใดอย่างหนึ่ง[ต้องการอ้างอิง]

อ้างอิง

แก้

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้

13°45′06″N 100°30′05″E / 13.751776°N 100.501267°E / 13.751776; 100.501267